U.S. Virgin Islands ผ่านกฎหมายห้ามขายห้ามใช้ครีมกันแดดที่เป็นอันตรายต่อปะการัง
- admin
- Jul 18, 2019
- 1 min read

ข่าวใหญ่เมื่อปลายเดือนที่แล้วคือหมู่เกาะ U.S. Virgin Islands ในทะเลคาริบเบียนมีมติผ่านกฎหมายห้ามใช้ครีมกันแดดแบบเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการัง ตามรอยรัฐฮาวาย ประเทศปาเลา เริ่มต้นห้ามนำเข้ากันยายนปีนี้ และห้ามจำหน่ายเดือนมีนาคม ปีหน้า นับว่าเป็นพื้นที่แรกๆในโลกที่จะมีผลบังคับใช้ในทางกฎหมาย
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา ฝ่ายนิติบัญญัติของหมู่เกาะ U.S. Virgin Islands ได้ผ่านกฎหมายใหม่ด้วยเสียเป็นเอกฉันท์ในการห้ามจำหน่ายครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ oxybenzone, Octocrylene และ Octinoxate ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในครีมกันแดดส่วนใหญ่ เป็นที่น่าสังเกตว่าในรายชื่อของสารเคมี มี Octocrylene เพิ่มขึ้นมาด้วยซึ่งเป็นสารที่พบได้ในครีมกันแดดจำนวนมากที่จำหน่ายในประเทศไทย
โดยจะเริ่มมีผลห้ามนำเข้าครีมกันแดดที่มีสารเคมีดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 30 กันยายนที่จะถึงนี้ และห้ามจำหน่าย ห้ามใช้ ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2020
Craig Downs ผู้อำนวยการ Haereticus Environmental Laboratory นักวิจัยผู้ตีพิมพ์ผลงานที่มีการอ้างอิงอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับผลกระทบของสารเคมีสามชนิด กล่าวว่า การออกกฎหมายห้ามใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายในครีมกันแดดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ภาครัฐสามารถทำได้เลยในการช่วยปกป้องระบบนิเวศแนวปะการัง ภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งต่อปะการังคือคุณภาพน้ำ ซึ่งสารเคมีในครีมกันแดดเป็นตัวการหนึ่งที่เราพบแล้วว่ามีผลเสียต่อปะการังและสิ่งมีชีวิตในทะเลโดยตรง
งานวิจัยเมื่อปี 2016 ของ Craig Downs และคณะ พบว่าสารเคมีเช่น Oxybenzone เป็นอันตรายต่อปะการังและทำให้ปะการังมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศน้อยลง ซึ่งงานชิ้นนี้มีส่วนสนับสนุนให้รัฐบาลมีมาตรการควบคุมการปนเปื้อนของครีมกันแดดอย่างจริงจัง
มีการประมาณว่าแต่ละปีมีครีมกันแดดมากถึง 6,000-14,000 ตันถูกชะล้างลงสู่ทะเลทุกปี อย่างไรก็ตามภัยคุกคามจากปรากฎการณ์ฟอกขาวและภาวะทะเลเป็นกรดถือว่ามีความรุนแรงยิ่งกว่า
“แน่นอนว่าการห้ามใช้ครีมกันแดดเคมีเหล่านี้ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเราจะสามารถฟื้นฟูสุขภาพปะการัง แต่มันเป็นหนึ่งในชุดครื่องมือที่เราต้องใช้ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูปะการัง” Tali Vardi นักวิจัยปะการังและผู้ประสานงาน Coral Restoration Consortium ให้ความเห็น
“รัฐบาลต้องจริงจังเรื่องการแก้ปัญหาโลกร้อน แต่เรื่องครีมกันแดดก็เป็นสิ่งที่ทุกคนช่วยได้”

Craig Downs อธิบายต่อว่าสารเคมีที่เป็นพิษเหล่านี้ส่งผลให้ปะการังฟอกขาวในอุณหภูมิที่ต่ำลง ทำลาย DNA และยังรบกวนพัฒนาการของปะการังวัยอ่อน ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพปะการังในระยะยาว
“มลภาวะจากครีมกันแดดอยู่ในสภาพแวดล้อมเป็นเวลานาน และมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเป็นการซ้ำเติมปะการังรุ่นใหม่ที่พยายามจะฟื้นตัวจากความเสียหายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปะการังฟอกขาว หรือพายุ ผลกระทบจะยิ่งรุนแรงและชัดเจนในพื้นที่ทางทะเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม
นอกจากผลกระทบต่อปะการังแล้ว นักวิจัยยังพบว่า สารเคมีในครีมกันแดดมีผลต่อ การขยายพันธุ์ในปลา ยับยั้งการเจริญเติบโตของสาหร่าย ทำให้ตัวอ่อนหอยกาบ หอยเม่นเติบโตผิดรูป นอกจากนี้ยังพบสะสมในเนื้อเยื่อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นโลมาอีกด้วย
นักวิทยาศาสตร์เตรียมติดตามระดับการปนเปื้อนสารเคมีเมื่อกฎหมายดังกล่าวถูกบังคับใช้ และริเริ่มโครงการฟื้นฟูปะการังที่เหมาะสมต่อไป
อ้างอิง
Comments